1.7
กลยุทธ์การบริหารการผลิต
การบริหารธุรกิจย่อมต้องมีการวางแผนดำเนินการต่างๆ ในระยะยาว
เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการกำหนดทิศทางขององค์การ การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic
Planning) เป็นการมองการณ์ในอนาคตด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกล
เพื่อสร้างแผนงานอันต่อเนื่องและดำรงแนวทางการดำเนินงานให้ถูกทิศทาง
1.7.1
ระดับของแผนงานกลยุทธ์สำหรับองค์การธุรกิจ
- แผนกลยุทธ์ระดับองค์การ (Corporate-level Strategic Plan)
เป็นแผนงานที่กำหนดพันธะกิจ (Mission) ขององค์การโดยรวม
ซึ่งแสดงโอกาสและช่องทางในการดำเนินธุรกิจ
ช่วยจัดสรรทรัพยากรขององค์การอย่างทั่วถึงและเหมาะสม
และเปิดช่องทางในการทำธุรกิจใหม่ๆ
แผนกลยุทธ์ระดับองค์การวางแนวทางให้แต่ละหน่วยธุรกิจขององค์การ (Single Business
Unit: SBU)
มีกรอบของการดำเนินงานอย่างชัดเจน
- แผนกลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business-level Strategic Plan)
เป็นแผนงานที่หน่วยธุรกิจขององค์การจะแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น
โดยแสดงถึงวัตถุประสงค์หลักของธุรกิจและวิธีการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นั้น
แผนกลยุทธ์ระดับธุรกิจนี้ต่อเนื่องมาจากแผนกลยุทธ์ระดับองค์การ
- แผนกลยุทธ์ระดับหน้าที่หรือผลิตภัณฑ์ (Functional หรือ Product-level Strategic
Plan) เป็นแผนงานในระดับฝ่ายของหน้าที่ต่างๆ
ซึ่งเป็นทั้งแผนวัตถุประสงค์และวิธีการดำเนินงานที่สืบเนื่องรายละเอียดต่อจากแผนกลยุทธ์ระดับธุรกิจ
แผนกลยุทธ์การบริหารการผลิตเกิดขึ้นจาการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การประกอบกับสมรรถนะของทรัพยากรภายในองค์การเอง
ดังที่เรียกว่า การวิเคราะห์ปัจจัยภายในและสภาวะภายนอกองค์การ (SWOT Analysis)
อันประกอบด้วย
ปัจจัยภายใน |
S Strength จุดแข็ง คือ ข้อได้เปรียบที่องค์การมีเหนือผู้อื่น เช่น มีเครื่องจักรที่ทันสมัย |
W Weakness จุดอ่อน คือ ข้อเสียเปรียบที่ทำให้องค์การด้อยกว่าผู้อื่น เช่น ขาดแรงงานที่มีฝีมือ |
ปัจจัยภายนอก |
O Opportunity โอกาส คือ เหตุการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์การให้ก้าวสู่ความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เช่น ฝนตกทำให้ร่มขายดี |
T- Threat อุปสรรค คือ สถานการณ์ที่ทำให้องค์การประสบกับปัญหาหรือความยากลำบากในการบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ คู่แข่งผลิตสินค้าใหม่ออกแข่งขัน |
1.7.2
ขั้นตอนของการสร้างแผนกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 1 : กำหนดงานหลัก (Primary Task) โดยระบุเป็นพันธะกิจ (Mission)
ที่บ่งบอกถึงแนวทางในอนาคตขององค์การที่วางไว้อย่างมีวิสัยทัศน์ ไม่กว้าง
ไม่แคบเกินไป ระบุเป็นเชิงปริมาณที่ชัดเจนเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
และสอดคล้องกับวัฒนธรรมหลักขององค์การ
ขั้นตอนที่ 2 : ยึดมั่นในข้อได้เปรียบหลัก (Core Competency)
ที่องค์การมีเหนือคู่แข่งขันรายอื่นๆ จึงเรียกข้อได้เปรียบหลักได้อีกอย่างหนึ่งว่า
Distinctive Competence หรือ Competitive
Advantage
ข้อได้เปรียบหลักควรจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีคุณค่าในสายตาลูกค้า
โดยที่คู่แข่งขันไม่สามารถเลียนแบบได้ง่าย ข้อได้เปรียบหลักประกอบด้วยแรงงาน
สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบของเทคโนโลยี
ตลอดจนความแข็งแกร่งของการปฏิบัติการทางการตลาดและการเงิน
ภาพที่ 1.6 :
ตัวอย่างลักษณะวิสัยทัศน์ของบริษัท
ที่มา : William, J. Stevenson, Operations
Management, 2002: 41.
ภาพที่ 1.7 :
การวางแผนและการตัดสินใจขององค์กรแบบ Top-down
ที่มา : William, J. Stevenson,
Operations Management, 2002: 42.
วิธีการในการวางแผนกลยุทธ์โดยยึดข้อได้เปรียบหลักเป็นสำคัญ
(Competency based Strategy)
1.สร้างข้อได้เปรียบหลัก ข้อได้เปรียบหลักมักจะมาจากประสบการณ์ที่สะสมมา
และความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
แต่ในปัจจุบันนี้ธุรกิจต้องเผชิญกับการแข่งขั้นที่รุนแรงและวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์สั้นลง
จึงทำให้ข้อได้เปรียบหลักที่มีอยู่มักจะไม่คงทน
จึงควรทบทวนข้อได้เปรียบหลักที่มีอยู่เสมอเมื่อเวลาผ่านไป
2.ใช้ข้อได้เปรียบหลักให้เป็นประโยชน์
โดยสร้างเสริมคุณค่าของข้อได้เปรียบหลักให้เกิดประโยชน์ต่อลูกค้า
หรือทำให้เป็นจุดขายที่โดดเด่น
หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่จากข้อได้เปรียบหลักที่มีอยู่
หรือใช้ข้อได้เปรียบหลักคิดวิธีการปฏิบัติใหม่และหาตลาดลูกค้าใหม่
3.ตั้งวัตถุประสงค์เชิงปริมาณจากกลยุทธ์ขององค์การ
ให้ทุกคนได้เห็นเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมในทุกระดับชั้นขององค์การและเข้าใจในเป้าหมายร่วมกัน
กระบวนการตั้งวัตถุประสงค์ที่จะต้องดำเนินต่อเนื่องจากระดับบนไปสู่ระดับล่างขององค์การเป็นแผนงานที่จัดทำโดยกระบวนการสร้างนโยบาย
เรียกว่า HOSHIN
ขั้นตอนที่
3 : พิจารณาเลือกลักษณะที่เข้าข่าย (Order Qualifier) และลักษณะที่ตัดสินใจเลือก
(Order Winner)
การมีข้อได้เปรียบหักที่ไม่มีค่าในสายตาผู้บริโภคก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ
เพราะลูกค้าจะซื้อต่อเมื่อเขาเล็งเห็นคุณค่าของข้อได้เปรียบหลักเท่านั้น
ความแตกต่างของลักษณะทั้งสองมีดังต่อไปนี้
Order Qualifier
เป็นลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่เป็นปัจจัยเบื้องต้นในการเลือกซื้อของลูกค้า
Order Winner เป็นลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าใช้พิจารณาตัดสินใจซื้อ
ภาพที่ 1.8:
ความแตกต่างระหว่าง Order Qualifier และ Order Winner
ที่มา : Mark, M. Davis,
Nicholas, J. Aquilano, and Richard, B. Chase,
Fundamentals of Operations
Management, 2003: 62.
ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้าจะเลือกซื้อเครื่องเล่นวีดีโอเทปโดยมีเงินอยู่จำกัด การเลือกยี่ห้อที่จะซื้อจะดูจากราคาที่ไม่เกินเงินที่มีอยู่ซึ่งอาจมีอยู่ 3 4 ยี่ห้อ แต่ในที่สุดลูกค้าได้ตัดสินใจซื้อเครื่องเล่นวีดีโอเทปที่มีหน้าที่การทำงานหลายหน้าที่ ดังนั้นราคาที่ไม่สูงเกินงบประมาณที่มีอยู่เป็นลักษณะที่เข้าข่ายและหน้าที่การทำงานหลายหน้าที่เป็นลักษณะที่ตัดสินใจเลือก
จุดสำคัญจะอยู่ที่การมีลักษณะที่ตัดสินใจเลือก เพราะธุรกิจจะดำรงอยู่ได้ต่อเมื่อมีลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่เพียงแต่ลูกค้าสนใจเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 4 : วางตำแหน่งขององค์การ โดยการเลือกข้อได้เปรียบหลักบางข้อที่องค์การสามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ และนำจุดแข็งและจุดอ่อนมาสร้างแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ
| |
Copyright
@2002. Mae Fah Luang
University. The best view at 1024x768 pixel Hight 16 bit or better, support with IE 5.0 or later | |